ปี 2020 ถือเป็นจุดเริ่มต้นทศวรรษของการที่นานาชาติได้ให้ความตกลงตามกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และรักษาการลดอุณหภูมิโลกให้สูงเพียง 1.5 องศาเซลเซียส ด้วยวิถีการดำเนินชีวิตของเราในช่วงศตวรรษที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ส่งผลให้โลกของเราต้องเผชิญกับความร้อนที่สูงขึ้นอย่างน้อย 3-4 องศาเซลเซียส ปี 2020 ถึง 2030 จึงเป็นช่วงเวลา 10 ปีของการร่วมมือกันลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ครึ่งหนึ่ง ผู้ก่อมลพิษที่ใหญ่ที่สุดในโลก หนีไม่พ้น สหรัฐอเมริกาและจีน ซึ่งทั้งคู่ยังอยู่ในระหว่างการควบคุมอุณหภูมิโลกให้ลดลงมาอยู่ที่ 1.5 องศาเซลเซียส และ 4 ภาคอุตสาหกรรมใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น ไฟฟ้า การทำความร้อน การขนส่ง การเกษตรและป่าไม้ รวมถึงการผลิตและการก่อสร้าง ยังคงเป็นผู้ต้องรับผิดชอบหลักต่อการปล่อยก๊าซเรือนกระจกส่วนใหญ่ทั่วโลก เป็นที่น่ายินดีที่บริษัททั่วโลกกว่า 220 แห่งได้ร่วมกันตั้งเป้าหมายที่จะใช้พลังงานหมุนเวียนให้ได้ 100% แม้ว่าจะมีบริษัทเพียงส่วนน้อยนิดเท่านั้นที่มาจากภาคส่วนที่มีการปล่อยมลพิษสูง
การคาดการณ์ในปี 2020 เมื่อผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกลายเป็นสิ่งที่จับต้องได้มากขึ้นและความกังวลของสาธารณชนก็ทวีความรุนแรงขึ้น เราจะเห็นการประท้วงของพลเมืองที่เพิ่มขึ้น และการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานเชื้อเพลิงฟอสซิลโดยฝีมือนักเคลื่อนไหวด้านสภาพภูมิอากาศ
ทั้งภาครัฐและเอกชนจะต้องให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนไปใช้พลังงานคาร์บอนต่ำอย่างรวดเร็ว รวมถึงการลงทุนอย่างจริงจังในการคิดค้นวิธีดักจับคาร์บอน ความพยายามในการลดการเผาไหม้ถ่านหินน้ำมันและก๊าซในปริมาณมากอย่างต่อเนื่อง เราจะเห็นความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วของการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีคาร์บอนต่ำรวมถึงเซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจนชีวมวล แบตเตอรี่ไฟฟ้า และอื่นๆ มากขึ้น และในที่สุดผู้ลงทุนในบริษัทถ่านหินที่มีการปล่อยปริมาณคาร์บอนมาก จะหันมาปรับพอร์ตการลงทุนใหม่เพื่อพยายามลดความเสี่ยงต่างๆ
ข้อแนะนำสำหรับองค์กรธุรกิจ